เราจะมาค้น หาความจริงเกี่ยวกับตัวเลข 108 กัน ว่ามีที่มาจากไหนกัน เพราะเอะอะ อะไร ก็ สวดมนต์ 108 จบ ลูกประคำยังต้อง 108 เม็ด ท่านเคยสงสัยกันบ้างมั้ยครับ
คำตอบทั้งหมดอยู่ในทักษา!
ทักษา คือ การทำนายชีวิตมนุษย์ โดยแบ่งชีวิตมนุษย์ออกเป็น 8 ภูมิ คือ
บริวาร อายุ เดช ศรี มูละ อุตสาหะ มนตรี กาลี
บริวาร | อายุ | เดช |
กาลี | ศรี | |
มนตรี | อุตสาหะ | มูละ |
เกิด วันไหน วันนั้นเป็นบริวาร แต่มีจุดที่ต้องเน้นอยู่ที่ว่า การเรียงดาวต้องจำให้ดี เพราะในตารางทักษานั้น เราไม่ได้เรียง อาทิตย์ จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัสฯ ศุกร์ เสาร์ แต่เราจะเรียงแบบนี้ คือ อาทิตย์ จันทร์ อังคาร พุธ เสาร์ พฤหัสฯ ราหู ศุกร์ ดังนี้
อาทิตย์ 6 | จันทร์ 15 | อังคาร 8 |
ศุกร์ 21 | พุธ 17 | |
ราหู 12 | พฤหัสฯ 19 | เสาร์ 10 |
ตัวเลขที่อยู่ข้างหลังวันก็คือ กำลังพระเคราะห์นั่นเอง เรามาดูที่มาของกำลังดาวกัน
ก่อน อื่นต้องรู้ว่า ในโลกนี้ย่อมมีดี มีชั่ว เรื่องดาวก็เช่นเดียวกัน มีดาวดี และดาวร้าย ซึ่งเรียกกันว่า ดาวศุภเคราะห์ กับ ดาวบาปเคราะห์
ดาวศุภเคราะห์ คือ ดาวดี อยู่ตรงตำแหน่งเครื่องหมายบวก คือ ดาวจันทร์ พุธ พฤหัสฯ ศุกร์ หรือ 2 4 5 6
ดาวบาปเคราะห์ คือ ดาวร้าย อยู่ตรงมุมทั้ง 4 ด้าน เป็นเครื่องหมายกากบาท ได้แก่ ดาวอาทิตย์ อังคาร เสาร์ ราหู หรือ 1 3 7 8
หลัก การคือ ดาวร้าย สามารถรับแสงจากดวงอาทิตย์เพียงครั้งเดียวก็เกิดได้เลย ในขณะที่ดาวดีต้องรับพลังแสงถึง 2 ครั้ง จึงจะเกิดได้ โดยมีจุด start อยู่ที่ทิศใต้หรือที่ตำแหน่งดาวพุธ นับเวียนขวาไปจนถึงดวงอาทิตย์ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
อาทิตย์ จึงมีกำลัง 6 (นับ 1 จากพุธ นับ 2 ที่เสาร์ นับ 3 ที่พฤหัสฯ นับ 4 ที่ราหู นับ 5 ที่ศุกร์ นับ 6 ที่อาทิตย์) เป็นดาวร้ายรับแสงครั้งเดียวพอ
จันทร์มีกำลัง 15 (นับแบบเดียวกันแต่ 2 รอบ เพราะเป็นดาวดี)
ดาวอื่นๆ ก็ทำเช่นเดียวกันจบจบ
ที่น่ามหัศจรรย์คือผลรวมของกำลังดาวครับ ได้ 108 พอดิบพอดีเป๊ะๆ มาดูกัน
กำลังดาวร้ายรวมได้ 6+8+10+12 = 36
กำลังดาวดีรวมได้ 15+17+19+21 = 72
กำลังดาวดี + กำลังดาวร้าย = 36 +72 = 108
นี่ จึงเป็นที่มาของลูกปะคำ 108 เม็ด สวดมนต์ 108 จบ เพราะเป็นการรวมกำลังแห่งดวงดาวในระบบสุริยจักรวาล สังเกตว่า ธรรมะย่อมชนะอธรรม ความดีย่อมชนะความชั่ว โลกจึงจะอยู่รอดได้
เรามาคลายสงสัยกันต่อว่า เหตุใดโบราณาจารย์ จึงห้ามตัดผมวันพุธ ห้ามตัดถอนต้นไม้วันพฤหัสฯ รวมถึง ห้ามเผาผีวันศุกร์
ที่มาทั้งหมดก็มาจากทักษานี่แหละครับ
ที่ห้ามตัดผมวันพุธ เพราะ อังคารที่แปลว่า ช่างตัดผม เป็นกาลี
ที่ห้ามถอนวันพฤหัสฯ ก็เพราะ เสาร์ที่แปลว่าพืชผลต้นไม้ เป็นกาลี
ที่ห้ามเผาผีวันศุกร์ ก็เพราะ ราหู ที่แปลว่า ผี เป็นกาลี นั่นเอง
มี ความมหัศจรรย์ของตัวเลข 108 ยิ่งไปกว่านั้นอีก เพราะปัจจุบัน ค้นพบว่า ดวงอาทิตย์มีเส้นผ่าศูนย์ใหญ่กว่าโลก 108 เท่า!! มันจะบังเอิญอะไรกันปานนั้น...
คราวนี้เราก็ รู้ที่มา ต้นตอ กันแล้วนะครับ น่าจะคลายความสงสัยลงไปบ้างไม่มากก็น้อย ดังนั้น ทักษาจึงเป็นหลักหรือทฤษฎีที่คนไทยผู้สนใจใฝ่รู้ในวิชาโหราศาสตร์ทุกคนจำ เป็นต้องเรียนรู้ไว้ให้ดี
http://www.oknation.net/blog/lifetime/2009/04/30/entry-1
ขณะที่สวดมนต์ไป จิตรู้ตามคำที่สวดไปเรื่อย ๆ จิตก็ตั้งมั่นรับรู้แต่คำที่สวดอย่างเดียว ไม่ส่งจิตไปที่อื่น นั่นคือ เกิดอารมณ์เดียว สติตั้งมั่นอยู่กับสิ่งเดียว เราเรียกว่า สมาธิ ก็จำไว้ให้ดี อารมณ์อย่างนี้เรียกว่า สมาธิ เมื่อสวดมนต์ทุกวัน สมาธิเกิดได้เร็ว จนแม้ถึงขนาดตั้ง นะโม สมาธิก็เกิดแล้ว นั้นก็คือ เรากำหนดสมาธิได้เร็วขึ้น
จิตที่เป็น สมาธิ อารมณ์เป็นอย่างไร ย่อมรู้ได้ด้วยตัวเอง เมื่อตั้งสมาธิได้ก็หมั่นพิจารณาธรรม หรือแก้ปัญหาต่าง ๆ อบรมจิตใจตัวเอง ให้รู้เท่าทัน " ตัณหา " ที่มันจะมาหลอกล่อให้เป็นทุกข์ในโลก เมื่อเรารู้ทัน มีสติปัญญาพิจารณาก่อนทำ ก่อนคิด ก่อนพูด ไม่หลงไปติดในเรื่องที่จะทำให้เกิดความทุกข์ (กิเลส) เราก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ มีแต่สุข รู้เท่าทันโลก ไม่ถูกครอบงำ พ้นกระแสโลกในที่สุด.
นี่แสดงว่ายังไม่เข้าใจ
ก่อนอื่นคุณนับประคำทำไม
เพื่อให้ใจสงบไม่ใช่เหรอ
เมื่อสงบแล้วก็หยุดนับไปเอง
เหมือนพายเรือ ไปถึงฝั่งแล้วก็หยุดพาย
จิตแลใจนี้....ทุกผู้ทุกคนย่อมจะมีจริต นิสัย อัชยาสัย.....ในการเข้าถึงธรรมที่ต่างกัน
สมาธิ.....ก็ย่อมต้องการความสงบระงับ หยุดแลนิ่งของจิต....ใจ
ไม่ว่าวิธีไหน ถ้าสงบระงับ มีศีลเป็นบาทเบื้องต้น....ละ เลิก รัก โลภ โกรธ หลง ก็ใช้ได้ทั้งนั้น
ส่วนที่ว่า จะเห็นอะไรได้ไหม....ก็ต้องอยู่ที่ว่า ตั้งใจหรือต้องการจะเห็นอะไร !
ถ้าต้องการเห็น จิตแลใจ ก็ต้องเจริญสมาธิ มีสติ...สัมปชัญญะ พิจารณาถูกหลัก จะนั่งนับลูกประคำ
หรือไม่นั่งนับลูกประคำ ก็สามารถเห็นได้ทั้งนั้น....ก็ต้องจับจิตแลใจโดยการเจริญสติ...ผู้รู้กับสิ่งที่ไปรับรู้
โดยสติปัฏฐานสี่ ก็มี กาย เวทนา จิต ธรรม พิจารณาถึงกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรมฯ
เป็นต้น ก็บางทีผู้ที่มีวาสนามาแต่หนหลัง อดีตชาติสะสมบุญบารมีมามาก ก็อาจเกิดเห็นภาพ
นิมิต ต่างๆนาๆ ได้ก็มีเหมือนกัน...บ้างก็ตามอารมณ์ สิ่งที่ไปรู้ ตัวนึก ตัวคิด พอ สมาธิ...สติเผอญไป
ก็ปรุงแต่งเป็นสัญญาฯ ภาพ ปรากฏขึ้น หลอกลวง ยึดถือ ว่าเป็นจริงเป็นจังแล้วไปยึดติด ยึดมั่นถือมั่น
ก็มีอีกเหมือนกัน ......บางทีไม่เห็นภาพก็มี แล้วก็ไปยึดว่าแบบนี้ นั้น ดี ซึ่งก็แล้วแต่อุบายธรรมในการฝึกฝน
ตัวเอง ของใครของมันหรือต้องตามแต่การฝึกจากครูบาอาจารย์ที่รับรู้มา....ตามถนัดชอบพอ
บ้างก็ฝึกตรง....ฝึกเพ่ง นึกถึง นิมิตเป็นอารมณ์หรือกสิณ ก็สามารถนึกเห็นภาพ ที่ต้องการปรากฏได้
ซึ่งก็ต้องฝึกกสิณให้ตรงต่อการเกิดทิพย์จักษุ คือ กสิณแสงสว่าง กสิณไฟ กสิณสีขาว ถึงจะเป็นไป
ตามต้องพึงประสงค์นั้นๆ...นอกเหนือจากนี้แล้ว เกิดขึ้นเองได้ยาก ถ้าไม่มีบุญบารมี วาสนามาแต่
ครั้งเมื่ออดีตชาติ....(ก็ต้องสังเกตุสังการ เอาเอง) ส่วนถ้าไม่ได้ฝึกกสิณโดยตรง โอกาสแห่งการรู้เห็น
ในภาพนิมิตที่ปรากฏมัก ฟุ้ง ปรุงแต่งเสียเป็นส่วนมาก...บางคณาจารย์จึงตัดไม่ให้สนใจในนิมิตนั้น
(ตัดไฟแต่ต้นลม) ซึ่งผู้ที่เห็นจริง ได้จริง ก็มักจะรู้จะเห็นเฉพาะตัวเฉพาะตนไม่ค่อยนิยมบอกใครๆ...!
ส่วนผู้ที่มักพูดหรือโฆษณา...ก็มักจะไม่ค่อยจริงหรือเห็นนั้นเห็นจริง แต่จริงที่เห็นมักไม่จริง เป็นต้น
ถ้าถนัดในการใช้ลูกประคำ จงทำต่อไป ไม่อยากให้เปลี่ยนแนวทาง เพราะทำแล้ว
จิตสงบได้ ขออนุโมทนาครับ
หรือถ้่าอยากเปลี่ยนแนวฝึก แนะนำให้ใช้ลูกประคำ นำไปก่อน นำไปก่อนนะครับ
เช่น นับไปได้ครึ่ีงรอบ แล้วถือลูกประคำไว้ เปลี่ยนจิตแบบลมหายใจ หรือกสิณ
คือถ้าอยากเปลี่ยนแนว ให้เอาสิ่งที่ชำนิชำนาญเดิม ค่อย ๆ ปน ค่อย ๆ แทรก
กรรมฐานทุกอย่าง อย่าไปติดพิธีกรรม
เครื่องมือเป็นเพียงอุปกรณ์ ที่ใช้ในอุบาย
จิตของคุณต่างหาก ที่เป็นคนนำ หรือผู้นำ
จิตนำกรรมฐาน ไม่ใช่ให้กรรมฐานนำจิต
นาๆคำตอบ ข้อคิดเห็นเกี่ยวลูกประคำค่ะ นำมาฝาก...
ทั้งสองโพสท์ ก๊อปมาจาก อ.Dhita บอร์ดเก่าจ้ะ